CHERTER 5 องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์

บทที่ 5 องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์



โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปที่เกี่ยวข้องกับการบัญชีสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่


1. โปรแกรมธุรกิจทั่วไป (Business Software) คือ โปรแกรมใช้ในการบริหารจัดการสารสนเทศขององค์กร โดยจะเป็นตัวเสริมความคล่องตัวในการนำเสนอข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจของผู้บริหาร ได้แก่ MS Word, Excel, PowerPoint และ Access เป็นต้น
2. โปรแกรมทางการบัญชี (Accounting Software) คือ โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับงานด้านบัญชีโดยเฉพาะ มีหน้าที่บันทึก ประมวลผล และเสนอรายงานเกี่ยวกับรายการค้าที่เกิดขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่การลงบัญชีในสมุดรายวันทั่วไป การผ่านรายการไปสมุดบัญชีแยกประเภท และสรุปผลรายการค้าออกมาในรูปของงบการเงิน ในปัจจุบันโปรแกรมทางการบัญชีมักเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมประเภท 
ERP package ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก ตัวอย่างของโปรแกรมประเภทนี้ได้แก่ SAP R/3, Oracle และCrystal Formula เป็นต้น

ปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะพิจารณาในการเลือกใช้โปรแกรมทางการบัญชีให้เหมาะสมกับองค์กร 
       โปรแกรมบัญชีที่มีขายอยู่ในประเทศไทยตอนนี้มีอยู่หลายชนิด ตั้งแต่ประเภทที่รองรับการบันทึกบัญชีและทำงบการเงินเพียงอย่างเดียว (ระบบ GL), ประเภทที่เป็น integrated accounting system คือ เอาระบบการขาย ออกใบกำกับสินค้า ฯลฯ มาเชื่อมกับระบบบัญชีและบันทึกบัญชีโดยอัตโนมัติ ไปจนถึงระบบซอฟแวร์บัญชีขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมฟังก์ชั่นการวางแผนทรัพยากรขององค์กร (ERP) ไว้ด้วย
       การเลือกใช้งานโปรแกรมรูปแบบใดนั้นต้องพิจารณาจากความต้องการของธุรกิจเป็นหลัก เช่น ต้องการความสามารถหรือฟังก์ชั่นการทำงานแบบใดบ้าง ต้องการระบบที่เป็นแบบ Online (ผ่านinternet/intranet) หรือเป็นแบบ stand alone รันบน PC เครื่องเดียว เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้

ERP
Integrated accounting systems
ระบบ GL
1. ราคา
สูง
ปานกลาง
ต่ำ
2. ความซับซ้อนในการติดตั้งและนำมาใช้งาน
ต้องมีการcustomize โดยผู้มีความชำนาญก่อนจึงสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
ต้อง customize ก่อนบ้าง บางครั้งอาจไม่ต้องcustomize เลย
Install แล้วใช้ได้เลย
3. Hardware requirement
สูง
ปานกลาง/ต่ำ
ต่ำ
4. ความยุ่งยากในการใช้งาน
มีความยุ่งยาก ต้องtrain พนักงานก่อนจึงสามารถใช้ระบบได้ถูกต้อง
ผู้ติดตั้งระบบแนะนำการใช้งานเบื้องต้นและศึกษาวิธีใช้งานจากคู่มือเพิ่มเติม
ศึกษาวิธีใช้งานจากคู่มือด้วยตนเอง
5.การบำรุงรักษาหลังจากที่ซอฟแวร์ถูกนำมาใช้แล้ว
มีค่าใช้จ่ายสูงทั้งด้านการ upgradeซอฟแวร์ และการดูแลเครื่อง server
มีค่าใช้จ่ายพอสมควรหากต้องการ upgrade เป็นversion ใหม่
ไม่ค่อยมีการบำรุงรักษา หากต้องการupgrade มักติดตั้งโปรแกรมใหม่แทนเลยเนื่องจากราคาต่ำ

การจัดหาโปรแกรมทางการบัญชี 
องค์กรแต่ละแห่งสามารถพัฒนาโปรแกรมทางการบัญชีขึ้นมาเองหรือจะซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปจากบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมโดยเฉพาะก็เป็นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและทรัพยากรที่มีอยู่ของแต่ละองค์กร ตารางต่อไปนี้จะแสดงถึงข้อแตกต่างระหว่าง 2 ทางเลือกในการจัดหาโปรแกรมทางการบัญชี
พัฒนาใช้เอง
ซื้อสำเร็จรูปจากภายนอก
(Package)
คุณภาพ
มั่นใจในคุณภาพ
ความสามารถของโปรแกรมอาจไม่ตรงกับลักษณะของธุรกิจ ทำให้ไม่ได้คุณภาพตามต้องการ
การฝึกอบรมและบำรุงรักษา
ต้องฝึกอบรมการใช้งานและบำรุงรักษาเอง
บริษัทผู้ขายจัดฝึกอบรมและบำรุงรักษา
โปรแกรมเมอร์
ต้องจ้างโปรแกรมเมอร์มาเขียนโปรแกรม
ไม่ต้องจ้างโปรแกรมเมอร์
ตรงตามความต้องการ
ละเอียด ตรงตามความต้องการ
เป็นมาตรฐาน อาจต้องมีการแก้ไข ความละเอียดขึ้นอยู่กับราคา
ต้นทุน
ต้นทุนสูงและยากในการประมาณการล่วงหน้า
ต้นทุนต่ำและประมาณการล่วงหน้าได้
ระยะเวลา
ใช้เวลาในการพัฒนานาน
ซื้อเมื่อต้องการ
เข้ากันได้กับระบบงาน
ออกแบบเพื่อให้เข้ากับระบบงานได้ดี
ต้องเลือกประเภทและชนิดที่เข้ากับระบบงานได้มากที่สุด
หาได้ในท้องตลาด
ไม่มีจำหน่ายในท้องตลาด
มีจำหน่ายในท้องตลาด ราคาอยู่ในระดับที่สามารถซื้อขายได้

โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาใช้งานเอง
ข้อดี – ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มีความยืดหยุ่นสูง
ข้อเสีย – ลงทุนสูงใช้เวลาในการพัฒนานานโอกาสพัฒนาไม่สำเร็จมีสูง ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงทีมงาน
โปรแกรมสำเร็จรูป (Package)
ข้อดี – สามารถใช้งานได้ทันทีเมื่อทำการติดตั้งสำเร็จราคาถูกกว่าพัฒนาโปรแกรมใช้เองมาก
ข้อเสีย – ไม่มีความยืดหยุ่นไม่รับ Modify ให้กับลูกค้า
โปรแกรมที่เป็นกึ่ง Package 
เป็นการแก้ปัญหาของโปรแกรมทั้งสองประเภทที่ได้กล่าวมาแล้ว เมื่อมีโปรแกรมเป็นชุดมาตรฐาน แล้วสามรถนำมา Modify ให้เข้ากับงานของท่านได้โดยเสียค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก
ความเหมือนที่แตกต่างของระบบโปรแกรมทางการบัญชี
  • ความเหมือน:
ใช้หลักการในทางบัญชีเดียวกัน 
ใช้หลักการในทางด้านภาษีเดียวกัน 
ขั้นตอนในการทำงานมีลักษณะเดียวกัน
  • ความแตกต่าง:
คุณภาพของโปรแกรมที่แตกต่างกัน
ความยากง่ายในการใช้งานที่แตกต่างกัน
ความยืดหยุ่นในการใช้งานแตกต่างกัน
ความสมบรูณ์ของโปรแกรมแตกต่างกัน
ความถูกต้องของโปรแกรมแตกต่างกัน
ความรวดเร็วของโปรแกรมแตกต่างกัน
เสถียรภาพการใช้งานของโปรแกรมที่แตกต่างกัน
แนวทางในการพัฒนาโปรแกรมแตกต่างกัน
ความต่อเนื่องในการพัฒนาแตกต่างกัน
การแนะนำและการอบรมการใช้งานที่แตกต่างกัน
การบริการหลังการขายที่แตกต่างกัน
ความใส่ใจในการบริการลูกค้าที่แตกต่างกัน
การแก้ปัญหาของลูกค้าแตกต่างกัน
ทีมงานขายทีมบริการหลังการขายทีมพัฒนาและทีมบริหารการจัดการที่แตกต่างกัน
องค์ประกอบและงานพื้นฐานของโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี
งานพื้นฐานของโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี  มีองค์ประกอบการทำงานดังนี้ 
1. เทคโนโลยีที่เป็นรากฐานของโปรแกรมทางบัญชี 
2. ทางเลือกของผู้ใช้ระบบงาน 
3. การกำหนดรหัสผ่าน หน่วยรายงาน และการกำหนดงวดบัญชี 
4. การสร้างแฟ้มหลัก การเพิ่ม ลด และเปลี่ยนแปลงข้อมูลในแฟ้มหลัก 
5. การป้อนรายการค้าและการตรวจทานรายการค้า 
6, การผ่านบัญชี (Posting)
7. การปิดบัญชีเมื่อสิ้นงวด 
8. การพิมพ์แบบฟอร์ม 
9. การพิมพ์รายงาน 
10. การแลกเปลี่ยนโยกย้ายข้อมูลระหว่างระบบบัญชีย่อยและระหว่างโปรแกรม
คุณสมบัติของโปรแกรมทางการบัญชีที่ดี
  • โปรแกรมบัญชี ระดับมาตรฐาน มีผู้ใช้กันอย่างแพร่หลาย และกรมสรรพากรยอมรับ
  • พัฒนาโดยบริษัทที่มั่นคง และ มีชื่อเสียงมายาวนาน ด้วยทีมโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ
  • ทำงานบน Windows ด้วย ระบบบัญชี ต่าง ๆ ครบวงจร
  • ใช้งานง่าย สะดวก ลดเวลาการทำงาน และมีรายงานที่สมบูรณ์แบบ
  • การอบรมเพื่อการใช้งานได้จริงก่อนซื้อและมีบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม
  • สามารถรองรับธุรกิจในอนาคตได้ เช่น E- Commerce
ทำไมผู้บริหารต้องให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อโปรแกรมทางการบัญชี
  • ต้องคุ้มกับเงินที่ลงทุน สิ่งที่สำคัญในการเลือกซื้อโปรแกรมราคาไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุด โปรแกรมถูกอาจไม่คุ้มกับเงินที่ลงทุน โปรแกรมราคาแพงอาจคุ้มกับเงินที่ลงทุนก็ได้ ต้องเปรียบเทียบอย่างละเอียดว่าซื้อโปรแกรมราคาถูกกับราคาแพงอย่างไหนจะคุ้มกว่ากันต้องพิจารณาในหลายๆ ประเด็น เข่น คุณภาพของโปรแกรม การบริการหลังการขาย ความยืดหยุ่น ประหยัดกำลังคน สนองความต้องการข้อมูลของผู้บริหารได้ถูกต้อง รวดเร็ว แม่นยำ เป็นต้น ขณะเดียวกันโปรแกรมที่ราคาแพงก็รับประกันไม่ได้ว่าจะดีมีคุณภาพเสมอไป
  • โปรแกรมไม่มีคุณภาพค่าใช้จ่ายเพิ่มในระยะยาว มีบริษัทจำนวนไม่น้อยที่ใช้โปรแกรมแล้วไม่ได้เป็นการลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กรเลย เพราะโปรแกรมที่ใช้มีความยุ่งยากในการใช้งาน ไม่ยืดหยุ่น สร้างปัญหาให้กับผู้ใช้งานอยู่ตลอดเวลา ผู้บริหารควรสังเกตว่าการลงทุนทางด้านไอทีในระยะเริ่มต้นค่าใช้จ่ายจะสูง แต่นานวันเข้าค่าใช้จ่ายจะลดลงเรื่อยๆ ผิดกับการลงทุนทางด้านบุคคลากร ช่วงเบื้องต้นค่าใช้จ่ายอาจจะไม่สูงแต่นานวันค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
  • จะได้ไม่ต้องซื้อซ้ำ หลายบริษัทมีประสบการณ์ในการซื้อโปรแกรมระบบเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เหตุผลเพียงเพราะว่าไม่ได้พิจารณาอย่างละเอียดก่อนจะซื้อ ทำให้ใช้งานไปแล้วมีปัญหาต้องหาโปรแกรมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เสียเวลาและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
  • คนทำงานจะได้ไม่เกิดความเบื่อหน่ายในการทำงาน มีพนักงานบัญชีจำนวนไม่น้อยที่เกิดความเบื่อหน่ายในการทำงาน เพราะว่าติดปัญหากับโปรแกรมที่นำมาใช้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ ทำให้พนักงานทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผล บางครั้งเป็นการทนใช้ไปก่อนรอการเปลี่ยนแปลงภายหลัง นานวันเข้าแก้ปัญหาหนักๆ ไม่ได้ก็ต้องลาออก ทำให้เสียต้นทุนในเรื่องบุคลากรอีก
  • การเลือกซื้อโปรแกรมไม่ได้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบัญชีฝ่ายเดียว จะเห็นว่าโปรแกรมระบบบัญชีเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เช่น
    • ระบบใบเสนอราคาใบสั่งจองใบสั่งขายเกี่ยวข้องกับฝ่ายขาย
    • ระบบใบขอซื้อ(PR), ใบสั่งซื้อ(PO) เกี่ยวข้องกับฝ่ายจัดซื้อ
    • ระบบลูกหนี้(AR) เกี่ยวข้องกับฝ่ายบัญชีฝ่ายสินเชื่อ
    • ระบบเจ้าหนี้(AP) เกี่ยวข้องกับฝ่ายบัญชี
    • ระบบสินค้าคงคลัง(IC) เกี่ยวข้องกับฝ่ายคลังฝ่ายบัญชี
    • ระบบบัญชีแยกประเภท(GL) เกี่ยงข้องกับฝ่ายบัญชีฝ่ายการเงิน
    • ระบบเช็ค(CQ) เกี่ยวข้องกับฝ่าย
  • โปรแกรมของคุณต้องพร้อมเสมอเพื่อรองรับอนาคต ซอฟแวร์ที่คุณซื้อต้องสามารถรองรับความต้องการทั้งในวันนี้และอนาคต การทำธุรกิจทาง E-commerce จะต้องใช้ Database ที่มีคุณภาพ Database ที่ดีจะต้องมาจากโปรแกรมทีมีคุณภาพเท่านั้น
  • บริษัทที่จำหน่ายโปรแกรม Modify โปรแกรมให้เข้ากับงานของคุณหรือไม่ มีบริษัทเป็นจำนวนมาก ตอนที่เลือกซื้อโปรแกรมมักจะไม่คำนึงถึงหัวข้อนี้ ต่อมาภายหลังมีความต้องการความสามารถของโปรแกรมเพิ่มขึ้นแต่โปรแกรมเดิมไม่สามารถรองรับงานได้ จำเป็นต้องเลิกใช้ทำให้ระบบงานหยุดชะงัก ต้องเริ่มต้นงานใหม่อยู่ตลอดเวลา ขาดความต่อเนื่องในการทำงาน ในการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพ
  • มีการบริการหลังการขายอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากโปรแกรมที่มีคุณภาพแล้วสิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่งคือ การบริการหลังการขาย การขายโปรแกรมที่จริงแล้วเป็นการขายบริการมากกว่าตัวโปรแกรมเหมือนกับนามธรรม รูปธรรมคือโปรแกรมต้องสามารถใช้งานได้ ใช้ได้หรือไม่ได้อยู่ที่การบริการเป็นหลัก มีทีมงานไว้คอยบริการลูกค้า ไม่ใช่เมื่อ 10ปีที่แล้วก็เป็นโปรแกรมบน Dos ขณะนี้ก็เป็นระบบ Dos แถมยังไม่มีการUpgrade ความสามารถอะไรใหม่ๆ ให้กับลูกค้าเลย ส่วนความมั่นคงขององค์กรที่จำหน่ายโปรแกรมก็มีความสำคัญไม่น้อย ท่านจะทราบได้อย่างไรว่าโปรแกรมที่ท่านเลือกใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ บริษัทฯ ที่จำหน่ายให้กับท่านจะอยู่บริการท่านต่อไปหรือไม่ มีบางบริษัทได้ตัดสินใจจ้างโปรแกรมเมอร์อิสระพัฒนาโปรแกรมให้ใช้พัฒนาจบส่งมอบงานเสร็จ ไม่ทราบว่าคนพัฒนาไปอยู่ที่ไหนตามตัวมาแก้ปัญหาก็ยาก ค่าจ้างก็สูงมากหรือไม่ก็อาจจะไม่รับทำงานให้เลย ทำให้บริษัทต้องเริ่มต้นใหม่อยู่ตลอด เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย เสียโอกาสทางธุรกิจเป็นจำนวนมาก
  • อ้างอิง :- http://ac427tu.googlepages.com/index.html

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม